ขอให้ยุติการฆ่านอกระบบกฎหมายในรอบสองปีเสียชีวิตไปแล้ว ๕๐ ราย
ข้อเสนอ 10 ข้อ จากสถานการณ์การฆ่านอกระบบกฎหมายในจังหวัดชายแดนใต้
รายที่ 51 รายแรกในปี 2565
เผยแพร่วันที่ 25 มกราคม 2565
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF)
กลุ่มด้วยใจ (Duayjai)
เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ (JASAD
เครือข่ายสิทธิมนุษยชนปาตานี (HAP)
ในประวัติศาสตร์การเมืองของไทยมีการละเมิดสิทธิในชีวิตที่ร้ายแรงและกว้างขวางหลายเหตุการณ์ เช่น การสลายการชุมนุมกลุ่ม นปช. กลุ่มพันธมิตรฯ สงครามยาเสพติด เหตุการณ์ตากใบ-กรือเซะ/ความขัดแย้งใน จชต. เหตุการณ์พฤษภา 35 เหตุการณ์ 6 ตุลา 19 เหตุการณ์ 14 ตุลา 16 การทรมาน อุ้มหาย อุ้มฆ่า เป็นระบบ-เฉพาะกรณี ทั้งโดยเจ้าหน้าที่รัฐและบางกรณีเกิดจากกลุ่มติดอาวุธที่ไม่ใช่รัฐ ความรุนแรงทางการเมืองที่ผ่านมาเหล่านี้ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิในชีวิต ไม่สามารถนำคนผิดมาลงโทษ แต่กลับเหลือแต่เพียงความทรงจำและประวัติศาสตร์ความรุนแรง อย่่างกรณีเหตุการณ์ปราบปรามผู้ชุมนุมเสื้อแดงปี 2553 มีผู้เสียชีวิตถึง 99 ศพ มีหลายกรณีที่ระบุว่าผู้กระทำเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่กลับไม่มีการนำคนผิดมาลงโทษ บางคดีเข้าสู่การพิจารณาในขั้นศาล และมีการเยียวยาจำนวนเงินที่มาก ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าความรุนแรงจากรัฐไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในจังหวัดชายแดนใต้เท่านั้น
ในจังหวัดชายแดนใต้การฆ่านอกระบบกฎหมายในรอบสองปีนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 ถึงเดือนธันวาคม 2564 มีผู้เสียชีวิตไปแล้ว ๕๐ ราย เหตุการณ์เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๕ เป็นอีกครั้งหนึ่งและเป็นครั้งแรกในปีพ.ศ. ๒๕๖๕ นับเป็นรายที่ ๕๑
การบังคับใช้กฎหมายที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญหลักการสากลและหลักนิติธรรมต่อผู้ต้องสงสัย ผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีความมั่นคง คือการนำบุคคลเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและดำเนินการตามกฎหมายบ้านเมืองให้ได้รับบทลงโทษจากคำพิพากษาของศาลชั้นต้น อุทธรณ์ ฎีกา การใช้ความรุนแรงทางอาวุธแทนการนำบุคคลเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมโดยรัฐในรูปแบบนี้นอกจากจะทำลายสิทธิในชีวิตแล้วด้วยนั้นยังเป็นการทำลายหลักนิติธรรมของประเทศด้วย
เจ้าหน้าที่รัฐจะต้องไม่ใช้ความรุนแรงในการทำลายชีวิตประชาชนโดยไม่ผ่านการพิจารณาคดีโดยศาลยุติธรรมให้มีคำพิพากษาของศาลสูงสุดตัดสินลงโทษการใช้อำนาจนอกระบบกฎหมายนี้ยังส่งผลต่อกระบวนการสันติภาพที่เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2565 นี้ เครือข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชนขอเรียกร้องให้ฝ่ายนโยบายของรัฐบาลรวมทั้งฝ่ายความมั่นคงยุติการปฏิบัติการสังหารประชาชนนอกระบบกฎหมายโดยทันที รับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนคือสิทธิในชีวิต การได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรมตามหลักนิติธรรม และดำเนินการแก้ไขสภาพปัญหา
สิทธิในชีวิต
สิทธิในชีวิตปรากฎใน มาตรา 3 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่ปีค.ศ ๑๙๔๕ และในมาตรา 6 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองเมื่อปี ๑๙๖๖ คือการยอมรับสิทธิโดยธรรมชาติของทุกคนคือสิทธินี้ทุกคน “จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย” และ “ไม่มีใครถูกพรากชีวิตไปโดยพลการ”
สิทธิในการดำรงชีวิตของบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีและภาระผูกพันของรัฐที่จะรับประกันสิทธินี้ในขั้นสูงสุดที่เป็นไปได้ โดยเฉพาะในมาตรา 6 ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ทุกคนมีสิทธิได้รับการคุ้มครองสิทธิในชีวิต โดยปราศจากความแตกต่างหรือการเลือกปฏิบัติไม่ว่าในรูปแบบใด และบุคคลทุกคนจะต้องได้รับการรับรองว่ามีการเข้าถึงการเยียวยารักษาอย่างเท่าเทียม
ยิ่งไปกว่านั้นมาตรา 4 วรรค 2 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์พิเศษเช่นความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศหรือสถานการณ์ฉุกเฉินอื่น ๆ ไม่อาจทำให้สูญเสียสิทธิในชีวิตและความปลอดภัยของบุคคล
การฆ่านอกระบบกฎหมาย การวิสามัญฆาตกรรม และ คำว่าศาลเตี้ย ทั้งสามคำนี้เป็นรูปแบบของการละเมิดสิทธิในชีวิตที่ร้ายแรง รวมทั้งการเสียชีวิตในระหว่างการควบคุมตัวก็เป็นการละเมิดสิทธิในชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ระหว่างปี 2553- ๒๕๕๙ ผู้ต้องหาคดีความมั่นคงหรือผู้ที่ถูกควบคุมตัวด้วยกฎหมายพิเศษในจังหวัดชายแดนใต้กังวลใจมากที่สุดคือความปลอดภัยหลังจากได้รับการปล่อยตัวซึ่งความกังวลของพวกเขาก็ไม่เกินเลยจากข้อเท็จจริงมากนักเมื่อกลุ่มด้วยใจได้รวบรวมรายชื่ออดีตผู้ต้องหาคดีความมั่นคง ผู้ที่ถูกควบคุมตัวด้วยกฎหมายพิเศษ และบุคคลในครอบครัว ที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปี ๒๕๕๙ ว่ามีจำนวน 20 ราย โดยเฉลี่ยปีละ 4 ราย ในช่วงเวลานั้น และนั่นก็เป็นสถานการณ์ที่เพิ่มความหวาดระแวงและไม่มั่นใจในกระบวนการยุติธรรมของไทย มักเป็นการลอบสังหารโดยไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำความผิดได้ เกือบทุกกรณีเป็นลอบสังหารอดีตผู้ต้องขังที่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ
ลำดับที่ ชื่อ วันที่เกิดเหตุ ผลกระทบ อดีตผู้ต้องขังเรือนจำ
1 นายรอมลี เจะเลอะ 06-ต.ค.-53 ถูกยิงเสียชีวิต ยะลา
2 นายมะสาวี มะสาและ 28-ม.ค.-54 ถูกยิงเสียชีวิต ยะลา
3 นายอับดุลเลอะ สาแม 17-ส.ค.-54 ถูกยิงเสียชีวิต สงขลา
4 นายสุกรี โซะ 20-ส.ค.-54 ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ปัตตานี
5 นายอับดุลเลอะ เจอะตีแม 2555 ถูกยิงเสียชีวิต ยะลา
6 นายลุกมาน ดอเลอะ 9 พฤษภาคม.2556 ถูกยิงเสียชีวิต ปัตตานี
7 นายมะรอเซะ กายียุ 07-มิ.ย.-56 ถูกยิงเสียชีวิต ยะลา
8 นายอิสมะแอ ปาโอ๊ะมานิ 25-มิ.ย.-56 ถูกยิงเสียชีวิต ปัตตานี
9 นายตอเหล็บ สะแปอิง 15-ก.ค.-56 ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ สงขลา
10 นายอับดุลรอฟา ปูแทน 14-ส.ค.-56 ถูกยิงเสียชีวิต ปัตตานี
11 นายสามือลี เจะกอ 29-ส.ค.-56 ถูกยิงเสียชีวิต สงขลา
12 นายมูฮำหมัดมาโซ มามะ 25-ก.ย.-56 ถูกยิงเสียชีวิต นราธิวาส
13 นายอับดุลมามะ สาแม 23-ม.ค.-57 ถูกยิงบาดเจ็บโดยเจ้าหน้าที่ สงขลา
14 นายเจะมุ มะมัน 03-ก.พ.-57 ถูกยิงบาดเจ็บ ปัตตานี
15 นาย มามะ ยามา 16-เม.ย.-57 เสียชีวิต นราธิวาส
16 นายมุกตาร์ อาลีมามะ 17-เม.ย.-57 เสียชีวิต ยะลา
17 นายอาดัม มะยีดี 21-ส.ค.-57 เสียชีวิต ยะลา
18 นายอาซัน มะแตหะ 12-พ.ย.-57 เสียชีวิต ยะลา
19 นายอาแซ นิเซ็ง 06-ธ.ค.๕๙ บาดเจ็บ ยะลา
20 นายยีเซะ ยูนุ๊ (บิดา ผู้ต้องหาคดีความมั่นคง)
สองปีของเหตุการณ์ปะทะนองเลือด
เหตุการณ์เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๕ เป็นอีกครั้งหนึ่งและเป็นครั้งแรกในปีพ.ศ. ๒๕๖๕ ที่หน่วยงานความมั่นคง จ.ปัตตานีได้สังหารชาวบ้านที่เจ้าหน้าที่อ้างว่าเป็นแนวร่วมก่อความไม่สงบ 2 คน ที่ อ.สายบุรี หลังปิดล้อมพื้นที่และเจรจาให้มอบตัวนาน 4 ชั่วโมง กระทั่งผู้ก่อเหตุยิงตอบโต้จนเกิดการปะทะ เจ้าหน้าที่รัฐจะอ้างว่าได้เสนอให้ออกมามอบตัวแล้ว โดยเชิญหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำศาสนา และผู้นำท้องที่เข้าร่วมเจรจา และเจ้าหน้าที่ก็อ้างว่าได้ดำเนินมาตรการจากเบาไปหาหนักโดยให้ผู้นำท้องถิ่นมาช่วยเจรจาให้ผู้ต้องหามอบตัวก่อนหน้าการปะทะ
เมื่อการเจรจาไม่เป็นผล ชาวบ้านที่ถูกติดตามอ้างว่ามีหมายจับได้วิ่งฝ่าออกมาจากบ้านได้ใช้อาวุธปืนยิงสวนออกมาเป็นระยะ ทำให้ฝ่ายความมั่นคงยิงตอบโต้ ทำให้นายมารวาน มีทอ อายุ 27 ปี และพวก เสียชีวิตรวม 2 คน ขณะที่เจ้าหน้าที่ ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ 1 นาย หลังเหตุการณ์สังหารฯ ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงก็จะระบุว่าผู้เสียชีวิตมีหมายจับคดีอาญาหรือหมายควบคุมตัวตามพรก.ฉุกเฉิน หรือแม้แต่ว่าตรวจสอบรายชื่อว่าเป็นผู้ต้องสงสัยหรือไม่หรือเป็นผู้บริสุทธิ์
มักมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงใช้กำลังที่เกินสัดส่วนในการจับกุมผู้ต้องสงสัยหรือบุคคลตามหมายจับ ปิดล้อมบ้าน ป่า เกาะ หรือหมู่บ้านกดดันให้เกิดการยิงปะทะกันขึ้น หลังจากที่มีเหตุการณ์ปิดล้อมที่จบลงด้วยการวิสามัญฆาตกรรมบ่อยครั้งในรอบสองปีที่ผ่านมา
ในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมาพบปรากฎการณ์การแห่ศพของผู้เสียชีวิต และมีการประท้วงกรณีที่ร่างของผู้เสียชีวิตไม่สามารถส่งมอบให้กับญาติได้ทันเวลา 24 ชั่วโมง โดยพบว่านอกจากการสังหารผู้ต้องสงสัยด้วยการปฏิบัติการทหารที่ละเมิดสิทธิในชีวิตของประชาชน โดยขาดการตรวจสอบถ่วงดุลโดยกลไกยุติธรรมของไทยมาตลอด 18 ปีแล้ว ไม่สามารถนำคนผิดมาลงโทษได้ ผู้เสียหายไม่ได้รับการเยียวยา เครือข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชนขอเรียกร้องให้ฝ่ายนโยบายของรัฐบาลรวมทั้งฝ่ายความมั่นคงยุติการปฏิบัติการสังหารประชาชนนอกระบบกฎหมายโดยทันที และดำเนินการแก้ไขสภาพปัญหาหลายประการตามข้อเสนอแนะทั้ง 10 ประการดังนี้
1. การรับคืนศพ เพื่อประกอบศาสนกิจตามหลักศาสนาอิสลาม เนื่องจากศาสนาอิสลามให้ทำการฝังศพเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่การรับคืนศพ ในพื้นที่เป็นเรื่องล่าช้า ไม่มีการแจ้งญาติอย่างชัดเจนว่ามีการนำศพไปที่ไหน อย่างไร และไม่มีผู้ประสานงานกลาง และไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง สื่อสารโดยตรงกับญาติ
ข้อเสนอแนะ อยากให้เจ้าหน้าที่รัฐ มีการสื่อสารอย่างเป็นขั้นตอนกับครอบครัว และแจ้งจุดรับศพที่ชัดเจน ไม่กำกวม และไม่ปกปิดข้อมูลศพ
2. การยึดทรัพย์สินของผู้เสียชีวิตหลังการปฏิบัติงาน
ข้อเสนอแนะ กรณีมีการยึดทรัพย์สิน เช่น เงิน โทรศัพท์ ทรัพย์สินส่วนตัว ควรมีการเซ็นเอกสารกำกับ ทั้ง 2 ฝ่าย โดยทำเอกสาร 2 ชุด เก็บให้เจ้าหน้าที่ 1 ชุด และญาติ 1 ชุด และควรคืนให้ญาติเมื่อสิ้นสุดการตรวจสอบ
3. การชันสูตรพลิกศพในที่เกิดเหตุ เนื่องจากการเข้าจุดเกิดเหตุของนิติวิทยาศาสตร์ ต้องรอหลังการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ความมั่นคง ซึ่งไม่มีใครทราบว่า ศพถูกจัดฉากหรือไม่ อย่างไร (กรณีนี้เป็นข้อกังขาของประชาชนอย่างมาก) ในบริเวณจุดเกิดเหตุ องค์กรอิสระ ไม่สามารถเข้าร่วมสังเกตการณ์การปฏิบัติงานได้ในระยะรัศมีที่เข้าร่วมสังเกตการณืได้
ข้อเสนอแนะ: องค์กรอิสระ ตัวแทนญาติ และผู้นำศาสนา ต้องสามารถเข้าจุดตรวจสอบหลักฐาน ในรัศมีที่กำหนดได้ เพื่อเข้าสังเกตการณ์การจัดเก็บหลักฐานให้ได้รับความเป็นธรรมและโปร่งใสที่สุด ตามขั้นตอนกระบวนการของกฎหมายมาตรา 150 มีเจ้าหน้าที่รัฐรวมสี่ฝ่าย คือตำรวจ อัยการ แพทย์ชันสูตร และฝ่ายปกครอง ต้องสามารถเข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุได้ ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติการทางทหารฝ่ายเดียว
4. การติดตั้งกล้องระหว่างการปฏิบัติงาน เมื่อการปฏิบัติงาน มีแค่ข้อมูลฝั่งเดียว การสรุปโดยฝ่ายความมั่นคงเองจึงไม่มีความน่าเชื่อถือ
ข้อเสนอแนะ: สิ่งที่สามารถหยุดข้อกังขานี้ได้ คือการติดตั้งกล้องไว้บนหมวกหรือเสื้อที่ตัวเจ้าหน้าที่ขณะปฏิบัติงานด้วยในจำนวนที่มากพอ เพื่อเป็นหลักฐานพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ ว่าได้ปฏิบัติงานจากเบาไปหาหนักอย่างแท้จริง
5. การใช้กำลังจากเบาไปหนัก ต้องเป็นไปตามหลักการใช้กำลังทางอาวุธ และงดการยิงไปยังจุดสำคัญของร่างกาย เช่น สมองและหัวใจ ซึ่งเป็นจุดที่มุ่งหมายให้อีกฝ่ายเสียชีวิตทันที เป็นต้น การปิดล้อมตรวจค้นจับกุมตามหมายจับหรือที่อ้างว่ามีการเจรจาแต่ไม่ยอมมอบตัวพึงกระทำต่อเมื่อจะเกิดภัยอันตรายในขณะเผชิญเหตุการณ์เท่านั้น ผู้ต้องสงสัยผู้ต้องหาตามหมายจับไม่ใช่พลรบที่จะสามารถใช้กำลังทหารกดดันให้เกิดการตอบโต้ทางทหาร
ข้อเสนอแนะ: ขอให้ฝ่ายความมั่นคงแยกแยกการบังคับใช้กฎหมายของตนด้วยความเข้าใจว่า การปะทะกับผู้ต้องสงสัยพึ่งกระทำได้ด้วยเหตุป้องกันตัวตามกฎหมายอาญาเท่านั้น ไม่ใช่การใช้กำลังจากเบาไปหาหนักซึ่งเป็นกฎการสู้รบในสภาวะสงคราม จังหวัดชายแดนใต้ไม่ใช่พื้นที่สงครามแต่รัฐไทยไม่ยกเลิกกฎอัยการศึกเพราะเป็นเหตุผลทางการเมืองซึ่งสร้างความเสียหายในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้และการเจรจาสันติภาพ
6. การซ่อมแซมจุดเกิดเหตุหลังการปฏิบัติงานทันที เช่น การซ่อมแซมบ้านที่เกิดเหตุ
ข้อเสนอแนะ: ควรมีการซ่อมแซมหลังได้รับคำสั่งจากพนักงานสอบสวนและได้เก็บหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์แล้วเท่านั้น มิใช่การปกปิดการกระทำหรือใช้กำลังเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงหรือการทำลายพยานหลักฐาน เนื่องจากการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุเป็นหลักฐานสำคัญของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการในคดีไต่สวนการตายว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ใช้กำลังเกินกว่าเหตุหรือไม่โดยจะเป็นการพิจารณาคดีชันสูตรที่ศาลจังหวัดที่เกิดเหตุในทุกกรณี
7. การชันสูตรศพโดยแพทย์ในที่เกิดเหตุ ตามขั้นตอนกระบวนการของกฎหมายมาตรา 150 มีเจ้าหน้าที่รัฐรวมสี่ฝ่าย คือตำรวจ อัยการ แพทย์ชันสูตร และฝ่ายปกครอง ต้องสามารถเข้าไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุได้ ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติการทางทหารฝ่ายเดียว
ข้อเสนอแนะ: แพทย์นิติเวช ควรลงไปในที่เกิดเหตุ เพื่อดูท่าทาง และสภาพศพในสถานการณ์จริง เพื่อความไม่คลาดเคลื่อนของการชันสูตร ที่อาจเป็นหลักฐานว่า เป็นการปฏิบัติงานที่เกินเหตุหรือไม่ เนื่องจากในพื้นที่ ศพจะต้องรับการตรวจที่โรงพยาบาล (ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้เวลาค่อนข้างนาน มากกว่า 5 ชั่วโมง และเป็นเหตุผลหนึ่งที่การฝังศพเป็นไปอย่างล่าช้า)
8. การแถลงการณ์โดยสำนักข่าวของหน่วยความมั่นคงหลังการปฏิบัติงาน และมีการส่งต่อให้สื่อกระแสหลักเผยแพร่ต่อ ปัญหานี้ เท่ากับว่า เจ้าหน้าที่รัฐไปกล่าวหาเขาว่าเป็นผู้ร้ายจริงๆ โดยที่ตัวเขาเอง ไม่สามารถแสดงข้อเท็จจริงใดๆ เนื่องจาก เสียชีวิตไปแล้ว การเผยแพร่ข่าวโดยปราศจากการคัดกรองเป็นการให้ร้ายอย่างหนึ่ง และทำให้เกิดอคติต่อมุสลิมได้
ข้อเสนอแนะ ควรงดการเผยแพร่ข่าวฝ่ายเดียว ควรให้องค์กรที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ในรัศมีที่กำหนด เป็นผู้สื่อสารเพื่อความเป็นกลางที่สุด
9. การขอโทษ หากพบว่า การปฏิบัติงานของหน่วยงานของตนเป็นการใช้กำลังเกินความจำเป็นจนถึงขั้นเสียชีวิตของอีกฝ่าย หรือทำเกินกว่าเหตุ ก็ควรมีการขอโทษต่อสาธารณะ และปรับปรุงหน่วยงานตัวเอง ไม่ให้มีเหตการณ์ซ้ำๆเกิดขึ้นอีก
10. การอบรมและให้ความรู้สิทธิมนุษยชนแก่เจ้าหน้าที่รัฐ จากการปฏิบัติงานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หลายครั้ง การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชน และสะท้อนให้เห็นว่า มีความจำเป็นต้องอบรมเจ้าหน้าที่ทหารชั้นปฏิบัติงานให้คำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนด้วย
ข้อเสนอแนะ ควรอบรมเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในชั้นปฏิบัติงานให้มีความรู้ด้านสิทธิมนุษยชนโดยหน่วยงานภายนอกเช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน คณะกรรมการกาชาดสากล หรือสำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งองค์การสหประชาชาติ เป็นต้น
รายชื่อผู้เสียชีวิตและวันเวลาของเหตุการณ์ ตั้งแต่มกราคม 2563 -มกราคม 2565
หมายเหตุ: รายชื่อเหล่านี้ไม่รวมผู้เสียชีวิตในการควบคุมตัวตามกฎหมายพิเศษในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้
ลำดับ | ชื่อ | สกุล | อายุ | จังหวัด | วันที่เกิดเหตุ | เดือน | ปี | |
ปี 2565 | 1 | มารวาน | มีทอ | 32 | ปัตตานี | 20 | มกราคม | 2565 |
2 | รอซาลี | เจะเลาะ | 44 | ปัตตานี | 20 | มกราคม | 2565 | |
ปี 2564 | 3 | สมันดี | สะนิ | ปัตตานี | 20 | มีนาคม | พ.ศ.2564 | |
4 | มะรอฟาอา | เจะอาลี | 32 | นราธิวาส | 23 | เมษายน | พ.ศ.2564 | |
5 | อีลียัส | เวาะกา | ยะลา | 4 | เมษายน | พ.ศ.2564 | ||
6 | รีสวัน | เจะโซะ | ยะลา | 4 | เมษายน | พ.ศ.2564 | ||
7 | ซูไร | ดิน | 30 | นราธิวาส | 11 | พฤษภาคม | พ.ศ.2564 | |
8 | อัมรัน | มะหิเละ | 28 | ปัตตานี | 21 | มิถุนายน | พ.ศ.2564 | |
9 | อาดือเระ | มันปุเตะ | 31 | สงขลา | 21 | มิถุนายน | พ.ศ.2564 | |
10 | อัมรี | มะมิง | 27 | ปัตตานี | 5 | กรกฎาคม | พ.ศ.2564 | |
11 | คูไมดี | รีจิ | 33 | ปัตตานี | 5 | กรกฎาคม | พ.ศ.2564 | |
12 | สุไลมาน | ดอเลาะ | 33 | ปัตตานี | 10 | กรกฎาคม | พ.ศ.2564 | |
13 | อาซมาน | สะมะแอ | 31 | ปัตตานี | 10 | กรกฎาคม | พ.ศ.2564 | |
14 | รอซาลี | หลำโซะ | 20 | สงขลา | 2 | สิงหาคม | พ.ศ.2564 | |
15 | นาย สุกกรี | สาอิ | 34 | ปัตตานี | 30 | สิงหาคม | พ.ศ.2564 | |
16 | นาย อัฎฮาร์ | ยูกะ | N/A | นราธิวาส | 3 | ตุลาคม | พ.ศ.2564 | |
17 | นาย ฮอาซัน | สามะ | N/A | นราธิวาส | 3 | ตุลาคม | พ.ศ.2564 | |
18 | นาย อับดุลเลาะ | อูแล | N/A | นราธิวาส | 3 | ตุลาคม | พ.ศ.2564 | |
19 | นาย บารูวัน | กือจิ | 35 | นราธิวาส | 3 | ตุลาคม | พ.ศ.2564 | |
20 | นาย มะสุกรี | อูแล | 43 | นราธิวาส | 3 | ตุลาคม | พ.ศ.2564 | |
21 | นาย ซูเฟียน | ยูโซะ | – | นราธิวาส | 3 | ตุลาคม | พ.ศ.2564 | |
22 | นาย อิสมาแอ | เจะนุ | – | นราธิวาส | 3 | ธันวาคม | พ.ศ.2564 | |
23 | นาย อาดีนันท์ | ซือรี | 28 | ปัตตานี | 24 | ธันวาคม | พ.ศ.2564 | |
24 | ซาการียา | ยูโซะ | 29 | ปัตตานี | 24 | ธันวาคม | พ.ศ.2564 | |
ปี 2563 | 25 | อับดุลฮาดี | อาบูดาโอ๊ะ | – | จ.นราธิวาส | 12 | มกราคม | พ.ศ.2563 |
26 | ยากี | เวาะงอย | – | จ.นราธิวาส | 23 | กุมภาพันธ์ | พ.ศ.2563 | |
27 | มากะลูดิง | อูเซ็ง | – | จ.นราธิวาส | 23 | กุมภาพันธ์ | พ.ศ.2563 | |
28 | เจ๊ะลีมา | ลาเต๊ะบือริง | – | จ.นราธิวาส | 23 | กุมภาพันธ์ | พ.ศ.2563 | |
29 | มูฮามะซูลกีฟลี | สือแม | – | จ.นราธิวาส | 23 | กุมภาพันธ์ | พ.ศ.2563 | |
30 | อาฮาร์ | สะอิ | – | จ.นราธิวาส | 23 | กุมภาพันธ์ | พ.ศ.2563 | |
31 | อาแว | สามะ | – | จ.นราธิวาส | 24 | กุมภาพันธ์ | พ.ศ.2563 | |
32 | วอเงาะ | วอเงาะ | – | จ.ปัตตานี | 7 | มีนาคม | พ.ศ.2563 | |
33 | วอเฮง | ฮารง | – | จ.ยะลา | 8 | มีนาคม | พ.ศ.2563 | |
34 | คามิส | คามิส | – | จ.ยะลา | 17 | มีนาคม | พ.ศ.2563 | |
35 | อัซฮา | ตือง๊ะ | – | จ.ยะลา | 17 | มีนาคม | พ.ศ.2563 | |
36 | จินดาเพ็ชร | จินดาเพ็ชร | – | จ.ยะลา | 17 | มีนาคม | พ.ศ.2563 | |
37 | คามิส | คามิส | – | จ.ยะลา | 18 | มีนาคม | พ.ศ.2563 | |
38 | ยูโซะ | แมะตีเมาะ | – | จ.ปัตตานี | 30 | เมษายน | พ.ศ.2563 | |
39 | มะตามีซี | สาอิ | – | จ.ปัตตานี | 30 | เมษายน | พ.ศ.2563 | |
40 | มะนาเซ | ไซร์ดี | – | จ.ปัตตานี | 30 | เมษายน | พ.ศ.2563 | |
41 | มะไซดี | แวสุหลง | – | จ.ปัตตานี | 17 | มิถุนายน | พ.ศ.2563 | |
42 | อันวา | ดือราแม | – | จ.ปัตตานี | 3 | กรกฎาคม | พ.ศ.2563 | |
43 | มะซูกี | สารูเม๊าะ | – | จ.ยะลา | 15 | สิงหาคม | พ.ศ. 2563 | |
44 | อันวา | กอแล | – | จ.ปัตตานี | 15 | สิงหาคม | พ.ศ. 2563 | |
45 | มาสุวัน | กะจิ | – | จ.ปัตตานี | 15 | สิงหาคม | พ.ศ. 2563 | |
46 | อาหามะ | จาจ้า | – | จ.ปัตตานี | 15 | สิงหาคม | พ.ศ. 2563 | |
47 | อะมะ | ดือเระห์ | – | จ.ปัตตานี | 15 | สิงหาคม | พ.ศ. 2563 | |
48 | ลุตฟี | บาเหะ | – | จ.ปัตตานี | 15 | สิงหาคม | พ.ศ. 2563 | |
49 | อิสมาแอ | แลแร | – | จ.ปัตตานี | 15 | สิงหาคม | พ.ศ. 2563 | |
50 | อัซมัน | เจ๊ะมิง | – | จ.สงขลา | 7 | กันยายน | พ.ศ. 2563 | |
51 | เจะอารง | บาเฮง | – | จ.สงขลา | 7 | กันยายน | พ.ศ. 2563 |