
ใบแจ้งข่าว
17 องค์กรส่งข้อเสนอเรื่องสิทธิในที่ดินต่อคณะกรรมการยูเอ็น
ว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
เน้นเรื่องความชอบธรรมด้านสิทธิในที่ดินของชนเผ่าชาติพันธุ์ทั้งในพื้นที่ป่าและทะเล
Download เอกสาร “สิทธิในที่ดิน : หลักสากลและสถานการณ์ในประเทศไทย”
ภาษาไทย ที่
ภาษาอังกฤษที่
กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมประเทศไทยจำนวน 17 องค์กร ได้จัดทำข้อเสนอแนะต่อร่างความเห็นทั่วไปที่ 26 (2564) ว่าด้วยเรื่องสิทธิในที่ดิน ให้กับคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมไปเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2564 โดยความเห็นในเอกสารฉบับนี้ได้ถูกรวบรวมโดยจากการแลกเปลี่ยนพูดคุยในการสัมมนาหัวข้อ “สิทธิในที่ดิน : หลักสากลและสถานการณ์ในประเทศไทย” ในรูปแบบออนไลน์ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 ระหว่างภาคประชาสังคมในประเทศไทยจำนวน 17 องค์กร ภายใต้การสนับสนุนของ ดร. เสรี นนทสูติ [1]ในฐานะสมาชิกของคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม โดยการประสานงานและการสนับสนุนข้อมูลโดยคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล
ข้อเสนอแนะต่อร่างความเห็นทั่วไปที่ 26 ฉบับนี้ แบ่งออกเป็น 6 ประเด็น ได้แก่ 1. ข้อเสนอแนะที่เกี่ยวกับการมีส่วนร่วม การปรึกษาหารือ และความโปร่งใส 2. ข้อเสนอแนะที่เกี่ยวกับพันธกรณีของรัฐภาคีภายใต้ ICESCR ที่เกี่ยวกับที่ดินตามหลักการเคารพ 3. ข้อเสนอแนะที่เกี่ยวกับพันธกรณีของรัฐภาคีภายใต้ ICESCR ที่เกี่ยวกับที่ดินตามหลักการคุ้มครอง 4.พันธกรณีข้ามพรมแดน 5.ประเด็นจำเพาะ และ 6.การเยียวยา
“ปัญหาที่ดินที่สำคัญคือการรับรองการใช้สิทธิในที่ดินอย่างชอบธรรมของคนกลุ่มต่างๆซึ่งรวมถึงชนเผ่าและชนกลุ่มนัอยทั้งในพื้นที่ป่าและทะเลซี่งเป็นประเด็นหลักในร่าง General comment ที่จัดส่งให้คณะกรรมการสหประชาชาติด้านเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ฉบับนี้” ดร.เสรี นนทสูติ ในฐานะสมาชิกของคณะกรรมการสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม กล่าว
ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยเรื่องสิทธิเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 (1999) รัฐสมาชิกมีพันธกรณีที่จะต้องส่งรายงานความคืบหน้าเป็นประจำทุก 5 ปี และคณะกรรมการฯ จะพิจารณาให้ข้อเสนอแนะเพื่อให้รัฐสมาชิกนำไปพิจารณาปรับปรุงการปฏิบัติตามกติการะหว่างประเทศฯ ซึ่งประเทศไทยได้ส่งรายงานครั้งแรกในปี 2558 ล่าช้าไป 16 ปีหลังให้สัตยาบันเป็นรัฐภาคี โดยมีข้อเสนอแนะต่อประเทศไทยในรายงานเผยแพร่เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2558[2] และยังไม่ได้ส่งรายงานต่อองค์การสหประชาชาติอีกจนปัจจุบัน
สำหรับสถานการณ์สิทธิในที่ดินในไทยที่ได้นำเสนอโดยมีรายละเอียดที่สำคัญดังต่อไปนี้
- การบริหารจัดการการถือครองที่ดินที่เชื่อมโยงกับการเข้าถึงและการจัดการทรัพยากรทางธรรมชาติอื่น ๆ เช่น น้ำและแร่ธาตุ อีกทั้งระบุเกี่ยวกับการประกันการมีส่วนร่วมและการปรึกษาหารือในบริบทของการจัดการที่ดินไว้ เราเห็นว่าในความเห็นทั่วไปที่ 26 โดยเฉพาะในย่อหน้าที่ 18 ควรจะระบุให้รัฐประกันการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการที่ดิน โดยรวมไปถึงแร่ธาตุและทรัพยากรธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นใต้ดินหรือในน้ำโดยชัดแจ้ง ก่อนจัดสรรที่ดินของรัฐเพื่อให้สัมปทานแก่เอกชนหรือเพื่อใช้ประโยชน์อื่นใด โดยยึดหลักการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
- รูปแบบการใช้ที่ดินเพื่อการดำรงชีพตามวัฒนธรรม เช่น การทำไร่หมุนเวียน หรือการประมง” เข้าไปในย่อหน้าดังกล่าวด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าวิถีชีวิตของคนกลุ่มนี้จะได้รับความคุ้มครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การทำไร่หมุนเวียนที่มักถูกตีตราว่าเป็นการทำลายทรัพยากรธรรมชาติและนำไปสู่การดำเนินคดีอาญาต่อชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย
- พันธกรณีของรัฐในการคุ้มครองการเข้าถึงที่ดินของผู้ถือครองสิทธิโดยชอบ รวมถึงจากบุคคลที่สาม และสิทธิในการเข้าถึงแหล่งน้ำและพื้นที่จับปลาที่ถูกใช้ร่วมกันในชุมชนอย่างไรก็ตาม เราพบว่าหนึ่งในปัญหาที่ประสบในประเทศไทยคือการที่ประชาชนที่อาศัยและพึ่งพิงทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ชาวเลย์ ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมที่อาศัยบริเวณทะเลอันดามันและมีวิถีชีวิตในเชิงวัฒนธรรมพึ่งพิงกับท้องทะเลมาเป็นเวลานานประมาณ 300 ปี ต้องประสบกับผลกระทบอันเนื่องมาจากนโยบายการท่องเที่ยวทางทะเลของรัฐ รวมถึงการที่รัฐประกาศพื้นที่อุทยานแห่งชาติเพื่ออนุรักษ์สัตว์น้ำและส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ที่คนกลุ่มนี้อยู่อาศัยและดำเนินวิถีชีวิตในเชิงวัฒนธรรม ซึ่งส่งผลให้ชาวเลย์ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งจับปลาเพื่อการดำรงชีพและประกอบอาชีพของตนได้ รวมถึงถูกบังคับให้ต้องโยกย้ายออกจากพื้นที่
- นโยบายการอนุรักษ์ป่าที่ส่งผลเป็นการบังคับขับไล่บุคคลที่มีวิถีชีวิตพึ่งพิงป่าไว้อย่างจำกัด ในประเทศไทย มีกรณีมากมายที่นโยบายและกฎหมายคุ้มครองป่าไม้ถูกใช้เพื่อละเมิดสิทธิ ดำเนินคดีอาญาฐานบุกรุก และบังคับขับไล่ผู้อยู่อาศัยและมีวิถีชีวิตพึ่งพิงที่ดินดังกล่าวก่อนที่จะมีการประกาศพื้นที่ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตป่าไม้ หรือเขตป่าสงวน ทำให้บุคคลเหล่านี้ถูกตีตราว่าเป็นอาชญากร และเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ
- ในประเทศไทยยังประสบปัญหาเกี่ยวกับการบังคับขับไล่ชนเผ่าพื้นเมือง เนื่องจากเจ้าหน้าที่ต้องการให้พื้นที่ดังกล่าวขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางธรรมชาติ เราจึงขอเสนอให้ความเห็นทั่วไปที่ 26 ระบุถึงกลไกการขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางธรรมชาติของประเทศสมาชิกว่าควรจะพิจารณามิติด้านสิทธิมนุษยชน ประเด็นเรื่องวิถีชีวิตดั้งเดิม และมิติทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของเหล่าบุคคลที่พึ่งพิงอาศัยที่ดินดังกล่าวด้วย
- ในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ มีเจ้าของที่ดินจำนวนมากยกเลิกสัญญาเช่าที่ดินที่ผู้เช่าทำการเช่าเพื่ออยู่อาศัย เพื่อการเพาะปลูก และดำรงชีพ และขายที่ดินดังกล่าวแก่นักลงทุนเพื่อใช้ในการอุตสาหกรรมสำหรับสำหรับโครงการพัฒนาต่าง ๆ โดยผู้ถูกบอกเลิกสัญญาจำนวนมากไม่ได้รับการเยียวยาใด ๆ เลย
- กลุ่มบุคคลที่ถูกดำเนินคดีมักเป็นผู้ที่อยู่อาศัยหรือพึ่งพาที่ดินที่ออกมาร้องเรียนถึงผลกระทบที่ตนได้รับจากนโยบายของรัฐในการจัดการที่ดิน และโดยส่วนใหญ่เป็นผู้ยากจน ทำให้ไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมักไม่ได้รับการสนับสนุนทางคดีจากรัฐ เราจึงขอเสนอให้ความเห็นทั่วไปมีเนื้อความสนับสนุนให้รัฐพิจารณาจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือทางคดีสำหรับผู้ถูกดำเนินคดีโดยเฉพาะนักปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยกองทุนหรือความช่วยเหลือด้านคดีดังกล่าวต้องสามารถเข้าถึงได้ง่าย ทันท่วงที และมีประสิทธิภาพ
- ในการทบทวนกฎหมาย และยกเลิกหรือแก้ไขปรับปรุงบรรดากฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่มีโทษทางอาญาและไม่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อดำเนินคดีต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนโดยมิชอบ รวมถึงยุติการนำกฎหมายมาใช้โดยไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการร่างกฎหมาย ยกตัวอย่างเช่น ในประเทศไทยมีการนำเอาบทบัญญัติลงโทษปรับผู้ที่กระทำการให้โลกร้อนมาใช้เพื่อลงโทษผู้ที่อยู่อาศัยและพึ่งพิงที่ดินมาก่อนการประกาศเขตป่าสงวน แต่ปฏิเสธที่จะโยกย้ายออกจากพื้นที่
- การเยียวยาแก่การละเมิดที่เกิดจากบริษัท เราเห็นว่าความเห็นทั่วไปควรระบุโดยชัดแจ้ง เช่นที่ระบุในความเห็นทั่วไปฉบับอื่นว่ารัฐมีพันธกรณีในการที่จะกำจัดอุปสรรคในการเข้าถึงความยุติธรรมของผู้ได้รับผลกระทบจากการลงทุนข้ามพรมแดนรวมถึงในบริบทที่ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกำจัดอุปสรรคด้านอายุความในคดีที่มีการฟ้องร้องให้มีการเยียวยา อุปสรรคภายใต้กฎหมายขัดกัน หรืออุปสรรคเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลอื่นๆ
องค์กรที่ร่วมลงนาม
- มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
- มูลนิธิชุมชนไท
- ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น
- ศูนย์วิจัยนวัตกรรมสังคมเชิงพื้นที่ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
- มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน
- วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต
- คณะติดตามการลงทุนและความรับผิดชอบข้ามพรมแดน
- มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ
- กลุ่ม the Mekong Butterfly
- มูลนิธิแอ็คชั่นเอด ประเทศไทย
- กลุ่มจับตาปัญหาที่ดิน
- มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม
- สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา
- ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
- สมาคมความมั่นคงด้านอาหารอันดามัน
- มูลนิธิส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
- สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน
[1] https://mfa.go.th/th/content/1492563?page=5d5bd3c915e39c306002a907&menu=5d5bd3d815e39c306002aac5
[2]https://voicefromthais.files.wordpress.com/2015/06/int_cescr_coc_tha_20933_thai-clean.pdf