CPCR: ศาลจังหวัดฝาง นัดสืบพยานโจทก์และจำเลย คดีที่ชาวลาหู่ บ้านห้วยนกกก ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ถูกฟ้องข้อหาบุกรุกป่า ต่อสู้ขัดขวางและทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่รัฐ

Share

ศพช (1)

เผยแพร่วันที่ 3 สิงหาคม 2559

ใบแจ้งข่าว

       ศาลจังหวัดฝาง นัดสืบพยานโจทก์และจำเลย

     คดีที่ชาวลาหู่ บ้านห้วยนกกก ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่

  ถูกฟ้องข้อหาบุกรุกป่า ต่อสู้ขัดขวางและทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่รัฐ

 

 

วันที่ 16 – 19 สิงหาคม 2559 ศาลจังหวัดฝางนัดพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลย ในคดีที่ชาวบ้านชาติพันธุ์ลาหู่จำนวน 3 คน ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ถูกฟ้องดำเนินคดี ในข้อหาบุกรุกป่าและต่อสู้ขัดขวาง, ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ป่าไม้ คือ คดีหมายเลขดำที่ สว. 20/2558ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดฝาง กับ นายประแอ๋ คีรีรัศมี จำเลยที่ 1 นายวิฑูรย์ คีรีรัสมี จำเลยที่ 2และ นายจะกุย จะปะโหล จำเลยที่ 3 โดยพนักงานอัยการจังหวัดฝางได้ฟ้องร้องจำเลยทั้งสาม ในข้อหาบุกรุกแผ้วถาง ยึดถือ ครอบครองหรือเผาป่า หรือกระทำการใดๆอันเป็นการทำลายป่าหรือยึดถือครอบครองป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต และ ต่อสู้หรือขัดขวางและทำร้ายร่างการเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหน้าที่อันมิชอบ ซึ่งคดีดังกล่าวนี้เป็นผลกระทบที่มีต่อชาวบ้านอันเนื่องมาจาก คำสั่ง คสช.ที่ 64/2557

 

คดีนี้ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่นและมูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อให้คำแนะนำและประสานงานทำความเข้าใจกับชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีคำสั่งที่ 64/2557 และแผนแม่บททวงคืนผืนป่าในพื้นที่ตำบลม่อนปิ่น อำเภอฝาง  จังหวัดเชียงใหม่  ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีดังกล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2557  นายประแอ๋ คีรีรัศมี จำเลยที่ 1 ในคดีนี้ ได้เข้าไปรดน้ำลิ้นจี่ที่สวนของตน แต่ปรากฏว่าน้ำไม่ไหล จึงเดินไปตรวจดูที่ต้นน้ำว่ามีปัญหาหรือไม่ และในขณะนั้นเองได้พบเจอกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้จำนวน 5 คน แต่ด้วยความกลัวจึงหลบหนี เจ้าหน้าที่ป่าไม้พบเห็นจึงเข้าทำการจับกุม โดยเจ้าหน้าที่ได้ใช้ไม้ตีที่ศีรษะ จนศีรษะแตกเลือดออก และหมดสติไป หลังจากนั้น นายวิฑูรย์ คีรีรัสมี จำเลยที่ 2 ได้เล่าว่า นายประแอ๋ คีรีรัสมี จำเลยที่ 1 เป็นบิดาของตน ได้เข้าไปทำสวนลิ้นจี่ในวันเกิดเหตุและได้หายไปนานตนจึงไปตามหาจึงได้เจอนายประแอ๋ นอนหมดสติอยู่ภายใต้การควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ตนจึงรีบกลับไปที่หมู่บ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ และกลับมายังที่ที่นายประแอ๋ถูกควบคุมตัวอีกครั้งพร้อมกับเจรจากับเจ้าหน้าที่ป่าไม้ให้ปล่อยตัวบิดาของตนเพื่อไปรักษาพยาบาลก่อน แต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ไม่ยินยอมจึงเกิดการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ป่าไม้และชาวบ้าน นายจะกุย จะปะโหล จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นชาวบ้านที่อยู่ในพื้นที่เกิดเหตุด้วย จึงทำให้ถูกฟ้องเป็นคดีหมายเลขดำที่ สว.20/2558

ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่นและมูลนิธิผสานวัฒนธรรมมีความเห็นว่า “นโยบายทวงคืนผืนป่าของรัฐส่งผลกระทบต่อวิถีการดำรงชีวิตของชาวบ้านอย่างรุนแรง   เนื่องจากพื้นที่ที่ชาวบ้านได้ทำกินอยู่เป็นพื้นที่ทำกินมาแต่ดั้งเดิม การดำเนินคดีข้อหาบุกรุกป่าตามฟ้องจึงไม่สมเหตุสมผลและทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน  นโยบายดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนทางด้านสิทธิเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรมแม้จะอ้างถึงการรักษาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศก็ตาม ไม่สมควรที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้านในการทำมาหากิน”

เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2558 ศาลจังหวัดฝางนัดพร้อม คดีนี้ จำเลยทั้งสามไปศาล และให้การปฎิเสธตลอดข้อกล่าวหาของโจทก์และยืนยันว่าจะต่อสู้คดีจนกว่าจะได้รับความเป็นธรรม ศาลจังหวัดฝางจึงได้นัดสืบพยานคดีนี้ระหว่างวันที่ 16 –19 สิงหาคม 2559 เวลา 09.00 นาฬิกา

ขอเชิญสื่อมวลชนและผู้สนใจ เข้ารับฟังการพิจารณาคดีนี้ได้ตามวันเวลาดังกล่าว

 

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

นายสุทธิเกียรติ ธรรมดุล ทนายความ ศูนย์พิทักษ์และฟื้นฟูสิทธิชุมชนท้องถิ่น 053-230072หรือ 083-6284239

นายปรีดา นาคผิว  ทนายความ มูลนิธิผสานวัฒนธรรม  089-6222474

TAG

RELATED ARTICLES

Discover more from มูลนิธิผสานวัฒนธรรม

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading

Discover more from มูลนิธิผสานวัฒนธรรม

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading